7.10.52

"วิ้ง..."

06.10.09

ได้ eyeshadow สีฟ้า+วิ้ง มา 1 อัน...ฟรี... ก็เลยไปนำเสนออ.สาคู พร้อมพลาสเตอร์ใสเพื่อทำตา 2 ชั้น สรุปว่าวันนี้แต่งหน้าเจ้าสาวกันดีก่า...
หมายเหตุ - แต่งหน้าธรรมชาติยังไม่ผ่านนะจ๊ะ ขอบอก...อาจารย์เห็นแก่อายแชโดว์น่ะ

วันนี้ฉันเข้าไปตอนเที่ยงครึ่ง ถือว่าพักกินข้าว สาวๆ ข้างในเขาก็จับกลุ่มกันเฮฮาอยู่ทีเดียว วันนี้นางแบบซึ่งฉันเป็นผู้ค้นพบก็กลายเป็นนางแบบสุดฮ็อตไปแล้ว โดนแย่งตัวยังกะอะไรดี แหม..แหม..แหม..ฉันตาดีเห็นก่อนนะยะ...
มีคนทักทาย ฉันก็ทำเนียนสนิทสนมเฮฮา พอเขาหันหลังกลับไป ฉันค่อยนึกขึ้นได้ว่าจำคนผิด ฉันไม่ได้สนิทกะคนนี้ สนิทกะเพื่อนเค้า (โธ่เอ๋ย...)
หัวข้อการสนทนาในวันนี้ ..นับว่าฉันได้เดินทางเข้าสู่วงโคจรชั้นในของช่างเสริมสวยอย่างแท้จริง เพราะได้มีการประกาศอย่างชัดแจ้งกลางวงว่า "อาชีพใดจะตอแหลเท่าช่างเสริมสวยนั้นไม่มี" (ฉันว่าอันที่จริงมี) เข้าข่ายจรรณยาบรรณเลยนะนั่น...

วันนี้ทำตาสองชั้น กรีดพลาสเตอร์ให้โค้งเป็นรูปตา แปะเข้าไปให้ชั้นตาแลดูชัด ก่อนแปะอย่าทาอะไรนะจะได้ติดทน มีคนแนะนำให้ฉันปิดมาทุกวัน หน้าตาจะดีขึ้น อยากหันไปด่าเหมือนกันแต่เกรงใจ... จากนั้นฝึกผสมรองพื้น ใช้ shading (ยืมน้องออม) ใช้สรรพสิ่งผสมรองพื้นทาได้หมดนะ เช่น ลิปสติก เพื่อให้แก้มแดงนานทั้งวัน แต่ทาแล้วลบไม่ง่ายนะ บอกไว้ก่อน
ตกแต่งสันจมูก ทีโซนใช้สีอ่อน สันใช้สีเข้ม จากนั้นลงแป้งฝุ่น ทาตาสีฟ้าวิ้ง ถ้าอยากให้ตาโตป้ายน้ำตาลลงไปหางตา ถ้าอยากให้วิ้งแจ่มขึ้นอีก ป้ายสีฟ้าลงไปบนสีน้ำตาล ปัดสีขาวด้านบน เขียนคิ้ว เิติมสีคิ้ว ดัดขนตา กรีด eyeliner ปัดมาสคาร่า ลงปาก
สิ่งที่ยากมีอย่างเดียวคือ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่หน้าซีกขวา พอจะต้องลงซีกซ้ายเองก็..นะ..
วันนี้ออกไปโดยไม่ล้างเครื่องสำอางออก แต่ลบสีให้บางลง แล้วก็ไปซื้อ eyeliner แบบเจลมาหัดกรีดเอง ซื้อนู่นนี่ ก็หนุกดี
ฉันไปทาบทามนางแบบคนอื่นไว้บ้างแล้ว ไปไถบลัชออกและอายแชโดว์จากญาติมิตรไว้บ้างเช่นกัน เหลือแต่ฝึกกรีดอายไลเนอร์เท่านั้นที่กรีดแล้วล้าง กรีดแล้วล้างจนตาแดงเหมือนผีอาฆาตแล้วยังไม่สำเร็จเลย...

5.10.52

มีนางแบบแล้วนะ...

2.10.09

ในที่สุดก็กลับไปเรียนอีก...อย่างหวั่นใจ... แต่ก็ไม่มีอะไร รู้สึกคุ้นเคยดี อาจารย์ก็ไม่ดุว่าอะไร นี่ละอารมณ์ที่ว่าเหมือนชุมชนจริงๆ
วันนี้ฝึกตาเข้มข้นขึ้น ก็ลงตาสีฟ้า่อ่อนเหมือนเดิม อาจารย์ลงให้ครึ่งนึง เราลงอีกข้าง อาจารย์ปัดแค่ 2-3 ที ก็บังเกิดความดี ความงาม ความจริงบนเปลือกตาบวมๆ แล้ว ฉันปัดเป็นสิบ...
พอแต่งหน้าเสร็จก็เรียนเรื่องรองพื้นกัน พอดีมีสาวๆ มานั่งเล่นแถวนั้น อาจารย์เลยชวนมาให้เป็นหุ่นทดลอง เชื่อไหมว่า ฉันสั่นเลยนะ ที่จะได้แต่งหน้าให้คนอื่นเป็นครั้งแรก
นางแบบของฉันผิวสีน้ำผึ้งสวยงามดี ตาโต ขนตายาว เราใช้ cleansing lotion เช็ดหน้า ลงครีมกันแดด ลงแป้งผสมรองพื้น อัดหนักไปนิด อาจารย์บอกให้ใช้แปรง ไม่ให้ใช้พัฟ ปรากฏว่าครีมกันแดดยังไม่แห้งดี หน้าเลยด่าง ก็เลยให้อาจารย์ช่วย ด้วยการปัดด้วยแป้ง แล้วใช้บลัชออนสีน้ำตาลดึงทั่วใบหน้า จากนั้นใช้แปรงเล็กปัดปิดตามร่องแนวเช่น ปาก จมูก
แล้วก็ถึงงานใหญ่ ลงสีตา เราเลือกสีส้มเป็นฐาน จากนั้นลองลงทองแจ่มๆ ด้านบน ออกมาก็งดงามดี แต่นางแบบไม่ชอบ จากนั้นเขียนคิ้ว ยากมาก เขียนเสียไปแล้ว อาจารย์แก้ตั้งนาน แล้วก็ลงปาก ปัดแก้มสีชมพูเพิ่ม
พอเสร็จแล้วนางแบบขอลบ อาจารย์ก็เลยบอกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ก่อนลบขอลองลงสีขาวให้ดู ก็ลงทับสีทองไป ปรากฏว่าลุคเปลี่ยนจากงานราตรีมาเป็นสาวหวานทันที นางแบบเปลี่ยนใจเลย (เดินหนีไปเลย)
พอแต่งเสร็จหนึ่งหน้า (ด้วยฝีมือตัวเองไม่ถึงครึ่ง) ก็เริ่มเห็นภาพตัวเองเป็นเมคอัพอาร์ติสต์ ยืนแต่งหน้าอย่างโปร ตามงานการกุศลต่างๆ เช่น ลอยกระทง สงกรานต์ ฯลฯ ที่เป็นงานการกุศลก้เพราะเขาจะได้ไม่กล้าด่าถ้าแต่งไม่สวย คิดไปนั่น...

มีเรื่องเล่าแถม วันเสาร์ฉันไปขึ้นรถไฟฟ้าที่จตุจักร ตรงข้างถนนก็จะมีเด็กประมาณประถม เล่นกีต้าร์ขอตังค์อยู่ มีนศ.ถือกระป๋องขอบริจาคไปทำค่าย และอื่นๆ...
ฉันเห็นเด็กน้อยตะโกนใส่คนที่ผ่านไป "...พี่อย่าเอาตังค์ให้เค้า พวกนี้ไม่ได้เอาตังค์ไปสร้างโรงเรียน เค้าเอาไปเล่นเกม เมื่องานเค้าก็มาเอาตังค์ผมไป 200..." word by word ขอบอก...
คือเด็กน้อยหาว่าพวกนศ.ที่มายืนนั่นเอาตังค์ไป...และเป็นพวกหลอกลวงนั่นแหละ นศ.ก็ทำหน้าตื่นๆ มีวัยรุ่นผ่านมายืนซุบซิบกันอยู่
โดยความเห็นฉันว่า ไม่ควรให้ตังค์ทั้งคู่ เด็กนั่นก็ไม่ควรมานั่งเล่นกีต้าร์หาเงิน นศ.ก็ไม่ควรมายืนเรี่ยไรแบบนี้...แม้กระทั่งการขอตังค์ข้างถนนก็ยังซ้บซ้อนเนอะ

15.9.52

แต่งไปเหมือนไม่ได้แต่ง

15.09.09

เริ่มขี้เกียจไปเรียนแต่งหน้า ก็จะลดวันเรียนลง เห่อง่าย หายเร็ว เนื่องจากไม่ค่อยมีพรสวรรค์ และวันนี้อาการอกหักปะทุหนักหลังเรียนแต่งหน้าเสร็จ ก็ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีพรสวรรค์จริง จริ๊ง...นั่นแหละ

มีสาวๆ เยอะเลยวันนี้ ก็เบียดๆ กันไป ล้างหน้าล้างตาลงครีมเสร็จ ก็ตบแป้ง วันนี้ชักใช้แปรงแม่นยำขึ้น ปัดแก้มสีสวยมาก คือสีน้ำตาลอ่อน ได้กลิ่นสายลมและมองเห็นแสงสีของฤดูใบไม้ร่วง ...Autumn in my heart... เป็นสีของหญิงสาวสูงวัย หรือหญิงวัยกลางคนโดยแท้ ... หลังจากปัดแล้วโดนนินทาว่าร้ายจากคนจำนวนมากแต่ก็ไม่สน
ติดใจสีแก้มเลยเอามาปัดตาซะเลย อ้ะลงรองพื้นที่เปลือกตาบวมๆ ... แปรงเล็กแตะๆ สี แตะที่มือนี้ดนึง ปัด..ปัด..ปัด..จากหางตาไล่มาหัว เนื่องจากมือใหม่จัดเลยได้รับอนุญาตให้ใช้เพียงสีเดียว สาวๆ ที่นั่งข้างๆ ต่างพากันลงอายแชโดว์ 3,4 สีตามอัธยาศัย เชอะ...

ทีนี้ชีวิตก็ยากแล้ว วันนี้จะใช้ดินสอเขียนคิ้ว เมื่อวานใช้พู่กันก็ผ่านฉลุยมาโดยง่าย พอใช้ดินสอ (สีน้ำตาลอมแดง พูดตรงๆ ไม่-ชอบ-เลย-) คิ้วเจ้าก็พังพินาศ- รีบลบไม่ให้ใครเห็น- แล้วเขียนใหม่ เจ๊งอีก พอดีเมื่อวานไปซื้อแปรงแข็งสำหรับลบคิ้วมา วันนี้เลยได้ฉลองแปรงหลายรอบ
ปัญหาของการเขียนคิ้วคือ อันแรกไม่โก่ง อันที่สองโก่งไป สงสัยหนอตลอดเวลา และอันที่สาม สองข้างไม่เท่ากัน... วันนี้เขียนไม่สำเร็จ อาจารย์สาคูมาเขียนให้ข้างนึง
ลงปากอย่างเมามันด้วยสีน้ำตาลเข้ม กะจะคุมโทนให้เป็นสาวใบไม้ร่วงทั้งใบหน้า แต่พอเห็นสีชมพูก็ลืมตัวปาดไปซะแล้ว สุดท้ายปากเ้ด้งเด่นมากเลยลบซะ ลงใหม่ ลงขอบสีน้ำตาล ป้าดโธ่...เผลอลงส้มสดไปอีกแล้ว เลยกลบอีกทีด้วยสีน้ำตาลเข้ม ให้มันขรึมๆ ลงหน่อย (แต่ความจริงใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดงก่อนร่วงก็เยอะน้า...)

สรุปว่าพอใจกับตา แก้ม และปาก พอประมาณ แต่อาจารย์ไม่ให้ความเห็นใดๆ บอกแต่ให้ฝึกต่อไป น้องกาญจน์เข้ามาคอมเม้นท์การปัดแก้ม เนื่องจากวันนี้เธอแต่งหน้าแต่งตัวสวยเฉิดฉายผิดหูผิดตาเข้ามาเลยไม่กล้าแย้งแต่ประการใด ได้แต่หมายใจไว้ว่าพรุ่งนี้เจ๊จะเป็นสาวสีชมพู...เอาให้หวานวิ้ง..กิ๊ง..กิ๊ง..กิ๊ง..ไปเลย หมายเหตุ- ถ้าเขียนคิ้วผ่านอ่ะนะ
อ๊ะ...วันนี้ขนตาเดี๋ยนเข้าสู่โหมดงอนงามเด้ง ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง สำเร็จแล้วนะฮ้า... เพราะฉะนั้นขากลับก็เลยฉลองด้วยมาสคาราแท่งใหม่จาก มาร์จอลิก้า มาร์จอลา เพิ่งรู้ว่าเป็นของพี่ชิ(เซโด)ทำเอง กลับมาลองปัด ปัด ปัดดูแล้ว ชีวิตยุ่งเหยิง แสบตาไปหมด เห็นได้ชัดว่าไม่ควรทำ แม้จะอยากก็ตาม

ตอนแรกคิดจะเอารูปมาลงบ้างเหมือนกัน แต่พอเริ่มลงสีแล้วคิดว่าถ้าลงรูปบล็อกอาจโดนเซ็นเซอร์ (18+, ห้ามคนขวัญอ่อน ฯลฯ) เลยเปลี่ยนใจ...

14.9.52

ในวันที่ขนตางอนงาม

วันนี้ต้องขึ้นหน้าเองแล้ว ขั้นตอนก็ง่ายๆ ล้างหน้าด้วยโฟมให้สะอาด จัดเรียงอุปกรณ์ ใช้สำลีชุบ cleansing lotion เช็ดหน้าให้เกลี้ยง ลงครีมบำรุง แล้วก็เริ่มแต่งหน้าได้
1 หน้าวันนี้ ฉันใช้เวลา 2 ชั่วโมง ลงไปแล้ว... รออาจารย์มาแก้... ลบใหม่...
ขั้นแรกลงแป้งผสมรองพื้น น้องที่กำลังทำผมกับหุ่นหัวอยู่ข้างๆ บอกว่า เนียนดีแล้ว ก็ปัดแก้มได้ ...ยังจำแปรงไม่ค่อยจะได้เลยว่าอันไหนใช้กับอะไร เยอะจัด... ปัดแก้มเสร็จแล้วก็ลงรองพื้นที่ตา เตรียมลงอายแชโดว์ ขั้นนี้ยากมาก ลงแล้วลบ ลงแล้วลบอยู่เป็นชาติ แถมไม่ได้ความอีก อาจารย์มาแก้ให้โดยง่าย "ก็เปลี่ยนแปรงซิจ๊ะ..." นั่นสินะ แกก็มีแปรงตั้งเยอะ...
วาดคิ้ว ดัดขนตา การดัดขนตาให้งอนงามนั้น ต้องทิ่มที่ดัดขนตาเข้าไปในเบ้าตาให้มากที่สุด หนีบ หนีบ หนีบ 3 จังหวะ ขนตาก็จะงอนงามเด้ง ฉันแอบติดใจการดัดขนตามาก คนดูออกกันทั้งบาง แม้ว่าจะถูกนินทาว่าร้ายซึ่งหน้าเรื่องขนตามีน้อยเกินไป สั้น ไม่งอนและไม่งาม บลา บลา บลา ฯลฯ ก็ตาม...

น้องกาญจน์มาถึงเกือบเที่ยง มานั่งดูฉันแต่งหน้าแล้วลงความเห็นว่า -พี่เหมือนกับหนูอย่างนึง คือ "ไม่แต่งจะสวยกว่า (มั้ย?)"- น้องเอ๊ย..พี่ถลำเข้ามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว อย่างน้อยก็จนกว่าโลชั่นเช็ดเครื่องสำอางขวดนี้จะหมดนั่นแหละ
พอลงปากเรียบร้อย ทุกคนก็มีความเห็นพ้องกันว่า สีที่หล่อนเลือกใช้กับใบหน้าตั้งแต่ตา แก้ม และปากนั้น -น่า-กลัว-มาก- พออาจารย์เห็นตั้งท่าจะเลิก เลยมาแก้สีตาให้เป็นสีส้มๆ ข้างนึง เพื่อความอ่อนโยนของใบหน้า อาจารย์ใช้บลัชออนแทนอายแชโดว์ โดยให้เหตุผลว่า สีแบบไหนก็เหมือนกัน เค้าแค่อัดลงคนละกล่องเท่านั้นแหละ...
ฉันทำท่าจะออกไปเลย ด้วยอายแชโดว์ข้างละสี อาจารย์ขยับมาห้ามไว้ ฉันเลยลบหน้าออกทั้งหมด

สิ่งที่เรียนรู้วันนี้เหรอ...เพื่อนนั้นหาง่าย...ในโรงเรียนเสริมสวยอ่ะนะ...

12.9.52

แม้จะดัดจริตแล้วก็ยังดัดขนตาไม่ได้...

11.09.09

เมื่อวานนี้นัดเวลาเรียนแบบเป็นคู่ เวลาอาจารย์แต่งหน้าให้อีกคนหนึ่ง เราจะได้สังเกตการณ์ได้ ก็เลยรีบกระหืดกระหอบไปให้ทันเวลา น่าแปลกที่มีฉันรีบอยู่คนเดียว... น่าแปลกจริงๆ ...เสมือนว่าเราไม่ได้ทำการนัดหมายอะไรกันแต่ประการใดกระนั้น...

ขั้นแรกเราต้องไปหยิบตะกร้ามาวางเรียงเครื่องสำอางลงไป ของใครของมัน แกะแปรงสารพัดชนิดมาใส่แก้วไว้ให้หยิบสะดวก วิ่งไปซื้อมีดโกนมาเตรียมไว้
ก่อนหน้าจะเริ่ม เราก็ต้องเรียนรู้แปรงแบบต่างๆ เครื่องสำอางต่างๆ (อย่างคร่าวๆ) อาจารย์จะแต่งหน้าเราให้ดูก่อน เริ่มที่กันคิ้ว ไปล้างหน้า ถ้ามีครีมบำรุงผิวก็ลงก่อน แล้วก็ตบแป้งแบบผสมรองพื้น ปัดแก้ม แต่งตา ตานี่มีรายละเอียดเยอะ ทั้งคิ้ว อายแชโดว์ มาสคาร่า ดัดขนตา ฯลฯ จากนั้นก็ทาปาก

อาจารย์แต่งไปซีกเดียวคือซีกขวา เพื่อดูเปรียบเทียบกับซีกซ้ายที่ยังไม่ได้แต่ง น้องที่เรียนมานานแล้วซึ่งกำลังฝึกแต่งหน้าแบบไปงานราตรีอยู่ ก็ออกปากชมซีกที่แต่งของฉันว่าดูสวยแตกต่างจากหน้าปกติมากทีเดียว ... เมื่ออาจารย์ทาลิปสติกสีชมพู เฉดเดียวกับปากของเอมมา วัตสันบนปกแอล กันยายน 52 นี้ บนปากฉัน...เพียงครึ่งซีก...แล้ว ก็หันไปแต่งหน้าให้คู่เรียนคือพี่นันทน์ ซึ่งหลังจากอาจารย์ลงครีมบำรุงผิวไปครึ่งซีกแล้ว อาจารย์ก็เกิดหิวข้าวขึ้นมาเลยเลิก ไปกินข้าวก่อน...
คือทุกอย่างมันเกิดสับสนขึ้นมาเนื่องจากความครึ่งซีก ฉันซึ่งจะต้องไปแล้ว แต่ขนตานั้นงอนงามเพียงหนึ่งซีกได้แก่ซีกขวาก็คว้าที่ดัดขนตาขึ้นมาดัดข้างซ้าย แต่ดัดไม่ได้ ในใจก็นึกว่าตายแล้ว กำลังจะไปตรวจตา คุณหมอมิหาว่าบ้าหรือยัยนี่ ขนตาตั้งข้างหนึ่งตกข้างหนึ่ง ... เพียรดัดอยู่เป็นนานกว่าจะขึ้นมาหน่อย แล้วก็ต้องรีบลบหน้าเก็บของเพราะมีน้องๆ จะอาศัยรถแท็กซี่ที่ฉันจะเรียกไปลงระหว่างทางด้วย

วันนี้เนื้อหาสาระเข้มข้นมากทีเดียว แต่เล็คเชอร์ของอาจารย์นั้น ถ้าว่าถึงความจำเป็นของนักเรียนในการ คอนเซ็ปชวลไหลส์ (conceptualize) ฉันว่าถึงขั้นเดียวกับการฟังเล็คเชอร์ของ ดร.เดชา สังขวรรณ เมดอิน ยูเอสเอ ทีเดียว เนื่องจากมีระบบการสื่อสารที่ซับซ้อนประหนึ่งสัญศาสตร์ของโซซูร์ อาจกล่าวได้ว่า "สัญญะ*" ของสาคูกับโซซูร์นั้นสูสีกัน...

* สัญญะ ตามความหมายของเซนต์ออกัสติน ตามหนังสือของอ.ธีรยุทธ (2551) อีกที คือ "บางสิ่งซึ่งนอกเหนือจากตัวเนื้อหาที่สัมผัสได้โดยผัสสะ (senses) แล้วยังเกิดการระลึกถึงสิ่งอื่นขึ้นในจิตใจเราด้วย"
ที่ว่า "บางสิ่ง" หรือ "สิ่งอื่น" นั้นก็เช่น ชั่วโมงเรียนของ ดร.เดชา หรือสีลิปสติกแรดขาดใจหากไม่ใช่เอมมา วัตสัน หรือจะกล่าวให้ชัดๆ เลยคือแปรงนานาชนิด กับคอนเซ็ปต์การแต่งหน้าขึ้นเวทีนางนพมาศต่างจังหวัด (ซึ่งไม่อาจไปเดิินแถวเซ็นทรัลชิดลมได้)ของโรงเรียนสอนเสริมสวยของฉันเอง ...

อันสตรีชนบทไทยแต่โบราณ...

10.09.09

ฉันเดินตัวปลิวเข้าไปในโรงเรียน วันนี้วันที่สอง เจอใครต่อใครที่เมื่อวานไม่เห็นหน้า แต่วันนี้ทักฉันกันถ้วนหน้า "มาเรียนแต่งหน้า ?" เป็นเรื่องแปลกมหัศจรรย์มากหากไม่เคยศึกษาวิชาชุมชนศึกษาหรือมานุษยวิทยามาก่อน
ที่โต๊ะตัวเมื่อวานมีพี่สาวนั่งวาดคิ้วลงกระดาษอยู่ก่อนแล้ว ฉันทำเนียนเข้าไปตีสนิท เขาไ่ม่สนิทด้วย แต่โต๊ะมันแคบยังไงก็ต้องนั่งด้วยกัน ที่จริงเขาอาจเซ็งที่ฉันไปเรียกเขาว่าพี่ เพราะจริงๆ แล้วฉันเป็นนักเรียนที่สูงวัยที่สุดแล้วตรงนั้น สำหรับสังคมที่อายุ 28 ต้องพูดว่า "ตั้ง 28 แล้ว" พร้อมทำท่าเจียมตัว พวกเลข 3 นำหน้ากรุณาสงบปากสงบคำ...
น้องกาญจน์คนที่เจอเมื่อวานได้ทำการ ปะ ฉะ ดะ กับอาจารย์สาคูตอนฉันนั่งวาดคิ้วจอมยุทธ์วันก่อนหน้า ฉันเองนึกว่าเขาคุยกัน วันนี้อาจารย์เข้ามาถึงก็เปิดฉากถล่มน้องกาญจน์ให้ผู้สูงวัยทั้งสองฟังก่อน พอน้องมาก็ซัดอีกรอบ น้องกาญจน์นิ่ง...ตบแป้ง...
พี่นันทน์ นั่งข้างๆ กัน วาดคิ้วโก่งจัด พอเสร็จ 1 หน้า อาจารย์เดินมาตรวจแล้วบอกให้เติมวงกลมตรงกลางระหว่างคิ้วซ้าย-ขวา "ถ้าเติมหูก็เป็นค้างคาว หรือเธอจะให้เป็นนกก็เลือกเอา..." พี่นันทน์ก็นิ่ง...วาดต่อ...
วาดไป คุยไป ดูอาจารย์แต่งหน้าน้องกาญจน์ไป อาจารย์สอนทำผมคนอื่นๆ ก็เข้ามาดูด้วย ฉันคิด(ไปเอง)ว่าจริงๆ มาดูฉันหรือเปล่า(วะ) เพราะหน้าแปลกและเกือบถูกเฉดไปเมื่อวานเนื่องจากใส่แว่น = สายตาสั้น = มองหน้าตัวเองไม่เห็นเวลาแต่ง นอกจากนี้ยังอ้วนล่ำผิดมาตรฐานความงามทั้งปวงอีกด้วย
พอจ่อมอยู่ซักพักก็เริ่มเข้าถึงความสบายของโรงเรียนเสริมสวย เพราะบรรยากาศมันเหมือนหมู่บ้าน ที่พวกผู้หญิงมารวมตัวกัน คุยกันสัพเพเหระ พร้อมกับฝึกทำอะไรบางอย่างไปด้วย การถ่ายทอดแบบนี้ไม่เหมือนห้องเรียน แต่เหมือนเวลาแม่ ป้า น้า ยายสอนทอผ้า ถ่ายทอดภูมิปัญญาชาวบ้าน จะยกตัวอย่างบทสนทนา เช่น หนีบจมูก (แต่งสันจมูก) เหมือนคันนาแถก (* อาจเขียนไม่ถูกนะ แต่มันแปลว่า คันนาที่แคบจนเดินไม่ได้) เป็นต้น
ไม่ใช่แค่คำพูด แต่บรรยากาศโดยรวม วิธีที่สอน และความสัมพันธ์ระหว่างกัน...บ้านมาก...อารมณ์เดียวกับตอนฉันนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านป้าทองคำแล้วหัดปั้นเม็ดขนุนกับคุณยายเอียดในวันเตรียมงานแต่งลูกสาวป้าทองคำ...ประมาณนั้นเลย...

วันนี้ฉันเลยเข้าใจขึ้นมานิดนึงว่าทำไมสาวๆ ชาวบ้านของไทยจึงชอบเรียนเสริมสวยกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ...
โรงเรียนเสริมสวยสามารถตอบโจทย์การศึกษาไทยได้หลายข้อทีเีดียว เข้าข่ายมหา' ลัยชีวิตอยู่เหมือนกัน ถ้าคิดจะวิจัยจริงจังละก็จะสนุกใช้ได้ ฉันยังไม่เคยเห็นชุมชนในกรุงเทพฯ ที่จะไทยแสนไทยได้อย่างนี้...จำลองชีวิตชนบทไทยเข้ามาสร้างใหม่แบบเดียวกันเปรี๊ยะ...
เว็บ Jeban บอกว่า Makeup is magic ... ฉันก็...ยังไงไม่รู้...วันนี้กลับบ้านลั้นลามีความสุข...
เป็นครั้งแรก เหมือนไม่เคยอกหักมาก่อนเลย
ของอย่างนี้เขาว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่เนอะ...

09.09.09

09.09.09
วันนี้ฉันไปสมัครเรียนแต่งหน้าที่โรงเรียนเสริมสวยมา...
ค่าเรียนแพงชะมัด แต่ฉันมีบางอย่างที่อยากเปลี่ยนแปลง เลยตัดใจควักเงินที่อุตส่าห์ทำมาหาได้จ่ายเขาไป
วันแรกก็เข้าเรียนได้เลย อาจารย์คนสวยที่สอนฉันชื่ออาจารย์สาคู ไม่สาวไม่ป้า ออกแนวป๋า ป๋าในสาขาอาชีพนะ
เสต็ปแรก อาจารย์แจกกระดาษ A4 สีชมพูกับดินสอปากแบนๆ แล้วสอนวาดคิ้ว แบ่งเป็น 4 ส่วนนะ อ้ะ ขึ้นโครง ตั้งฉาก โก่ง แปรงไป จับดินสอเหมือนจับพู่กัน อย่าขยับข้อมือ ฯลฯ
สาวๆ รอบตัวเรียนมานานกว่าฉัน กำลังฝึกกับหน้าตัวเองอยู่ วันแรกไม่รู้จะเป็นเพื่อนกับใครยังไง รอบตัวฉันมีแต่คนที่มุ่งมั่นจะเปิดร้านเสริมสวย ฉันเองเวลาไปสมัครเรียนยังพูดผิดพูดถูกอยู่เลย
วันแรกนั่งจ่อมอยู่ 2 ชั่วโมง ได้คิ้วแบบจอมยุทธ์ลมปราณแตกซ่านมา 2-3 แผ่น สิ้นหวังมากๆ ก่อนกลับอาจารย์บอกว่า พรุ่งนี้มาแต่ตัวกับดินสอ 2B กระเป๋าเครื่องสำอางไม่ต้องเอามา...

ถ้าสงสัยว่าฉันเคยเล่าเรื่องสูบนั่นนี่อย่างมึนเมาแล้วทำไมเปลี่ยนไป... ไม่มีอะไร ตอนนี้ฉันอกหัก = ไม่มีคนหาซิการ์ดีๆ มาให้สูบ ฉันก็นั่งดูดหม้อยาอันเก่า ยาเส้นแม่หน่อริรุ่นปี 2009 ผสมโบคุ่ม เชอร์รี่ รำลึกความหลังแสนดีกันไป ถ้ารวบรวมกำลังใจได้คงจะออกไปเสาะหายาดีๆ มาสูบใหม่

16.1.52

เมื่ออ่าน Twilight

ถ้าจะอ่าน blog นี้ ถือว่าคุณอ่านซีรี่ส์นี้จบอย่างน้อย 3 เล่มแล้วนะ – Twilight, New Moon, Eclipse

อ่านซีรี่ส์ Twilight ของ สเตฟานี ไมเยอร์ จบแล้ว 3 เล่ม เท่าที่มีภาษาไทย ออกจะเริ่มต้นช้าไปสักนิด แต่ฉันอ่านเร็ว เล่มแรกดีที่สุด Twilight คือคนเขียนเขาคงวางโครงเรื่องของทั้งชุดไว้แล้วน่ะแหละนะ แต่เล่มที่อ่านแล้วพึงพอใจที่สุดก็เล่มแรก อาจจะเพราะว่ายังไงจุดจบที่ดีของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ฉันอ่านหนังสือวรรณคดี บทกวีของฝรั่งในยุคหนึ่งเขาก็สรรเสริญมากที่สุดเรื่องความเป็นมนุษย์ หรือ mortality การที่มนุษย์สามารถตายได้ ส่วนสิ่งที่เป็นอมตะก็แล้วแต่ว่าเราจะเลือกอะไร อย่างเชคสเปียร์เลือกชื่อเสียง หรือคนอื่นเลือกความรัก หรืออะไรก็แล้วแต่ แม้กระทั่งวรรณคดีเกี่ยวกับเทพเจ้าของกรีก โรมัน ยังกล่าวไว้ว่า รู้ไหมว่าทำไมบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายจึงได้ลงมาปั่นป่วนวุ่นวายกับมนุษย์นักหนา ก็เพราะว่าเทพเจ้าทั้งหลายนั้น อิจฉาความเป็นมนุษย์นั่นเอง จะมีอะไรทำลายความสุขของชีวิตอมตะนอกจากความเบื่อหน่าย ส่วนมนุษย์นั้น เนื่องจากชีวิตที่แสนสั้น ทุกคืนวันของมนุษย์จึงทำทุกอย่างให้เต็มที่เพื่อให้จบชีวิตลงอย่างมีความสุขที่สุด หรือดิ้นรนอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ส่วนเทพเจ้านั้น ไม่มีวันแก่และตาย และไม่มีอะไรที่ไม่ได้ นอกจากการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ นี่คือเหตุที่กวีทั้งหลายสรรเสริญความเป็นมนุษย์ หรือผู้ที่สามารถตายได้

เรื่องความรักของแวมไพร์กับมนุษย์ ความจริงมันขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนจะกำหนดคุณสมบัติแวมไพร์ว่าอย่างไร แต่โดยพื้นฐานอุปสรรคใหญ่คือความเป็นอมตะ มนุษย์เรานั้นอยากได้ความเป็นอมตะ ในขณะที่แวมไพร์ไม่เรียกร้องให้มนุษย์ที่รักละทิ้งความเป็นมนุษย์ ฉันเชื่อว่าความรักของแวมไพร์อย่างใน Twilight นั้นจะมองเห็นมนุษย์ที่เขารักแก่ชราและผ่านคืนวันไปจนตาย โดยที่รักเธอมากขึ้นทุกวันได้จริง หลังจากเธอตายไป ก็แล้วแต่แวมไพร์ว่าจะทำอย่างไร แต่การมองดูคนที่เรารักแก่ลงไปด้วยกันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน คนที่ทุกข์ใจกว่าก็คือมนุษย์นั่นแหละที่คนข้างๆ ตัวไม่แก่เฒ่า ในที่สุดก็จะเข้าใจถึงความเจ็บปวดของสิ่งที่เรียกว่านิรันดร์กาล เมื่อตัวเองต้องตายไป

นางเอกของเราก็ยังเด็กมากเหลือเกิน เนื่องจากเป็นนิยายรักวัยรุ่น เมื่อคนวัยกลางคนมาอ่านก็ต้องชมเชยผู้เขียนว่าเขียนดี ถ่ายทอดอารมณ์ของวัยรุ่นได้ดีมากทีเดียว คือว่าเธอเด็กมาก เธอมีอย่างเดียวคือความงดงามตามวัย และเธอตัดสินใจทุกอย่างอย่างเป็นวัยรุ่นมาก คือใช้เหตุผลน้อย ใช้อารมณ์เยอะ ก็ว่ากันไป ผู้อ่านวัยกลางคนไม่ค่อยเข้าใจ เลยเบื่อๆ เธอเล็กน้อย แต่แฟนเธอก็ดีทีเดียว ช่วยกันเตือนสติได้ดี จะเห็นว่าข้ออ้างต่างๆ ที่เธอยกขึ้นมาเป็นเหตุผลเพื่อให้เธอได้เป็นอมตะกับข้อเท็จจริงนั้นไม่ค่อยเข้ากันนัก แต่แหม...อ่านดูแล้วพิจารณาดูดีๆ อีกทีละกันว่าจริงๆ หล่อนอยากได้อะไร และเหตุการณ์ทั้งหลายที่ทำให้เธอสติแตกนั้นล้วนเกิดจากตัวเธอเองทั้งสิ้น แต่ตอนที่เธออกหักก็เขียนดีนะ คนอ่านอกหักไปด้วยเลย

งานอย่างนี้เรียกว่าเป็นวรรณกรรม สิ่งที่เป็นวรรณคดีจะทำมากกว่านี้เล็กน้อย คือรวบรวมเอาเศษเสี้ยวที่นางเอกของเราบอกว่าเป็นรอยแผล เป็นชิ้นส่วนเว้าแหว่งในใจต่างๆ นานา มาชี้แจง ตีแผ่ ขับเคลื่อนไปให้เห็นความเป็นชีวิตอย่างเปิดเผย ความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ทั้งหมดทั้งหลายของมนุษย์นั้นควรจะได้ประกอบขึ้นเป็นคนคนนั้น ความแตกต่างก็อยู่ที่ว่า ถ้าคนคนนั้นเป็นปีเตอร์ เป็นลูซี่ เป็นสมศักดิ์ เป็นสมหญิง หรือเป็นสตาลิน เป็นเหมาเจ๋อตุง เป็นสุนทรภู่ เป็นมาริลิน มอนโร impact หรือผลกระทบต่อมนุษยชาติก็อาจจะต่างกัน นิดหน่อย

เราก็คงต้องรอคอยต่อไปว่าผู้เขียนตีความความเป็นอมตะอย่างไรในเล่มสุดท้ายคือ Breaking Dawn เพราะฉันขี้เกียจอ่านภาษาอังกฤษ จะรออ่านภาษาไทย หวังว่าจะวางแผงเร็วๆ นี้ อีกอย่าง หนังเรื่อง Twilight นางเอกสวยดีนะ แต่พระเอกไม่หล่อเท่าในหนังสือ ...ก็ไม่เป็นไร ...

4.1.52

Nari in Moods...

กลับมาแล้ว ไปเที่ยวปีใหม่มาซะนาน สั่งทำไปป์อันใหม่มาแล้วด้วย เดี๋ยวจะเอามาอวด...
คราวนี้ลงอุปกรณ์สร้างความเคลิบเคลิ้มให้ดูก่อน
ไปป์หรือหม้อยาอันนี้ พ่อจาง เป็นชาวลัวะที่เชียงใหม่ ทำให้เป็นของขวัญ ทำจากไม้ขนุน อันเล็กกะทัดรัด ขอบเป็นเงินสลักลาย จะเห็นได้ว่าเยินๆ เพราะหัดใช้ก็เลยทำจนยับเยินไปบ้าง
ข้างๆ เป็น zippo รุ่นเดียวกับที่คุณตาเคยใช้ รุ่นพี่คนหนึ่งซื้อให้ รุ่นพี่อีกคนเอาไปขูดขีดให้ยับเยินเล็กน้อยเพื่อความเท่ เราไม่เห็นว่าเท่ แต่ไม่กล้าบอก กลัวรุ่นพี่เสียใจ...



นี่คือ cigarillos หรือซิการ์มวนเล็ก ขนาดเท่าบุหรี่ ที่เป็นของชอบของครอบครัว เป็นซิการ์ยี่ห้อดันเนอมันน์ ชื่อมูดส์ แบบมีฟิลเตอร์ รายละเอียดเขาบอกว่ามวนด้วยใบยาสุมาตรา (Sumatra) กลิ่นหอมมาก เพราะเขาเน้น Fine Aroma เคยสูบแบบที่ไม่มีฟิลเตอร์ ก็ดีเหมือนกัน แต่แบบมีฟิลเตอร์จะสบายกว่านิดหน่อย ตัวยาสุมาตราเอง จัดอยู่ในกลุ่ม speziale หรือยาสูบดีพิเศษของดันเนอมันน์ แต่แรงมาก สูบแล้วก็มึนๆดี แต่มูดส์เองดันเนอมันน์เขาก็โฆษณาว่าเป็นที่รักของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก มูดส์มีแบบ Golden taste ด้วยนะ กล่องจะขอบสีทอง แต่เราไม่ชอบ เราชอบแบบธรรมดานี้มากกว่า


(ขอบคุณภาพจาก http://www.dannemann.com/)


การสูบซิการ์นั้นไม่ระคายคอเท่าบุหรี่ แต่ก็เป็นของมีราคาแพง จึงควรสูบแต่พอประมาณ เช่น ขณะเครียดจัด ขณะโลกสวย ขณะทะเลาะกับมนุษยชาติ ขณะอยู่ในร้านกาแฟเลิศหรู และขณะนอนแสวงหาความเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอน เป็นต้น... มูดส์มีแบบเป็นซิการ์ธรรมดาด้วย ยังไม่เคยลองเพราะมันตัวใหญ่ รู้สึกว่าสูบแล้วดูไม่ดีในที่สาธารณะ แต่จะไปหามาลองแล้วมาเล่าให้ฟัง เข้าใจว่าคงจะเคลิบเคลิ้มเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับซิการิลโล
ไปถามพี่ที่เขาเคยเรียน Spanish เขาบอกว่าอะไรที่ลงท้ายด้วย -rillo หรือทำนองนี้ หมายถึงของเล็กๆ คงเหมือนกับภาษาเยอรมันลงท้ายด้วยคำว่า -chen เช่น Maedchen เด็กสาวๆ Hundchen หมาน้อย Staedtchen เมืองเล็กๆ Beerchen เบียร์แก้วใหญ่มาก แต่เป็นคำแก้เขินของพวกนักศึกษาขี้เมาที่หาข้ออ้างดื่มเบียร์ตอนสิบโมง แกล้มกับการบ้าน ...
ออกจะนอกเรื่องไปเล็กน้อย แต่หวังว่าท่านคงจะเคลิบเคลิ้ม และดีขึ้นเมื่อได้ลองมูดส์